Page Speed หนึ่งในเป็นปัจจัยสำคัญต่อ SEO
Page Speed เป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อประสิทธิภาพของเว็บไซต์และมีผลต่อประสบการณ์ของผู้ใช้ การทำให้เว็บไซต์โหลดได้รวดเร็วเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลทั้งในประสบการณ์ของผู้ใช้และในการติดอันดับในการค้นหา
นี่คือเหตุผลที่ Page Speed มีความสำคัญ
-
ผลกระทบต่อประสบการณ์ผู้ใช้
- เว็บไซต์ที่โหลดได้รวดเร็วมีผลต่อประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้. ผู้ใช้มักทิ้งเว็บไซต์ที่โหลดช้าและเลือกใช้เว็บไซต์ที่มีการโหลดรวดเร็ว.
-
การรักษาผู้เยี่ยมชม (Retention)
- Page Speed มีผลต่อการรักษาผู้เยี่ยมชมในเว็บไซต์. ผู้เยี่ยมชมมักกลับมาในอนาคตถ้าพบว่าเว็บไซต์โหลดได้รวดเร็วและไม่ต้องใช้เวลานาน.
-
การติดอันดับในการค้นหา (SEO)
- Google ให้ความสำคัญกับ Page Speed เป็นหนึ่งในปัจจัยที่มีผลต่อการติดอันดับในผลการค้นหา. เว็บไซต์ที่โหลดได้รวดเร็วมีโอกาสสูงกว่าในการติดอันดับดีในผลการค้นหา.
-
การลดการกระทบต่อแบตเตอรี
- ผู้ใช้มือถือมักค้นหาและเข้าชมเว็บไซต์ผ่านอุปกรณ์พกพา. Page Speed ที่ดีช่วยลดการใช้งานแบตเตอรีและเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงผ่านมือถือ.
-
การลดการกระทบต่อการขาย
- สำหรับเว็บไซต์ที่ให้บริการการขายของ, Page Speed มีผลต่อการลดการกระทบต่อการทำธุรกรรม. ผู้ใช้มักทิ้งตะกร้าสินค้าหากพบว่าเว็บไซต์มีปัญหาในการโหลด.
-
การประหยัดทรัพยากร
- Page Speed ที่ดีช่วยลดการใช้ทรัพยากรบนเซิร์ฟเวอร์, ลดค่าใช้จ่ายในการโฮสติ้งและเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากร.
-
การเพิ่มการแบ่งปันสังคม
- ผู้ใช้มักแบ่งปันเนื้อหาที่พบบนเว็บไซต์ทางโซเชียลมีเดีย. Page Speed ที่ดีช่วยเพิ่มโอกาสในการแบ่งปันเนื้อหา.
การปรับปรุง Page Speed ทำให้ไม่เพียงแต่เว็บไซต์ของคุณทำงานได้ดี, แต่ยังเป็นการพัฒนาประสบการณ์ผู้ใช้, การติดอันดับในการค้นหา, และประสิทธิภาพทรัพยากรทั้งระบบ.
นี่คือวิธีที่ทำให้เว็บไซต์ของคุณโหลดได้รวดเร็ว
-
ปรับปรุงรูปภาพ
- ใช้รูปภาพที่มีขนาดเหมาะสมและลดขนาดไฟล์ให้เล็กที่สุด.
- ใช้รูปภาพรูปแบบตัวที่ถูกต้อง (JPEG สำหรับรูปถ่าย, PNG สำหรับภาพในรูปแบบต่างๆ).
-
ใช้การแคช (Caching)
- ใช้ HTTP Caching เพื่อให้เบราว์เซอร์บันทึกข้อมูลและลดการโหลดซ้ำซ้อน.
- กำหนดค่า Cache-Control headers ในการตั้งค่าการแคชของไฟล์.
-
ลดการรวมเสริมไฟล์ (Minify Files)
- Minify CSS, JavaScript, และ HTML เพื่อลดขนาดของไฟล์.
- ลบช่องว่าง, ลบคำสั่งที่ไม่จำเป็น, และลดขนาดไฟล์.
-
ใช้ Content Delivery Network (CDN)
- ใช้ CDN เพื่อให้เนื้อหาของเว็บไซต์ได้รับการแจกจ่ายจากที่ใกล้ที่สุดกับผู้ใช้.
- ลดการดึงข้อมูลจากเว็บเซิร์ฟเวอร์หลัก.
-
ปรับแต่งการโหลดภายใน (Optimize Server-Side):
- ปรับแต่งการกำหนดค่าเซิร์ฟเวอร์เพื่อให้ทำงานได้รวดเร็ว.
- ใช้เว็บเซิร์ฟเวอร์ที่มีประสิทธิภาพสูง.
-
ลดการรองรับทางด้าน
- ลดจำนวนของไฟล์, รูปภาพ, และส่วนเสริมที่เว็บไซต์ต้องโหลด.
- ลดการใช้ JavaScript และ CSS ที่ไม่จำเป็น.
- โหลดไฟล์ JavaScript ที่ไม่จำเป็นต้องโหลดไว้หลังหน้าการแสดงผล.
- ใช้ async หรือ defer attribute สำหรับการโหลด JavaScript ที่ไม่บังคับการแสดงผลทันที.
-
ปรับแต่งการโหลดภาพ (Lazy Loading)
- ใช้การโหลดภาพแบบ Lazy Loading เพื่อโหลดภาพเมื่อจะถูกแสดงผล.
- ลดการโหลดทันทีของภาพที่ไม่อยู่ในมุมมองแรก.
-
การใช้ Compression
- ใช้ Gzip หรือ Brotli compression เพื่อลดขนาดของไฟล์ที่ถูกส่งไปยังผู้ใช้.
- กำหนดค่า Compression headers ในการตั้งค่าเว็บเซิร์ฟเวอร์.
-
ตรวจสอบโค้ด JavaScript และ CSS
- ตรวจสอบโค้ด JavaScript และ CSS เพื่อปรับปรุงและลดขนาด.
- ใช้เวอร์ชันล่าสุดของส่วนเสริมและไลบรารี.
-
การใช้ WebP สำหรับรูปภาพ
- ใช้รูปภาพในรูปแบบ WebP ที่มีขนาดเล็กและคุณภาพสูง.
- รูปภาพในรูปแบบ WebP มักมีขนาดไฟล์น้อยกว่า JPEG หรือ PNG.
การทำเว็บไซต์โหลดได้รวดเร็วเป็นกระบวนการต่อเนื่องและต้องได้รับการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเพื่อให้บรรลุผลลัพธ์ที่ดีที่สุด. การใช้เครื่องมือตรวจสอบ Page Speed และ Google PageSpeed Insights สามารถช่วยคุณตรวจวัดและปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์ได้
ทดสอบความเร็วเว็บไซต์ของคุณได้ที่นี่
https://pagespeed.web.dev/